วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

โครงส้รางอีเมล์

จากหนังสือ "เก่งคีย์อีเมล์ญี่ปุ่น" จัดทำโดย สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) นั้น ได้เขียนถึงโครงสร้างอีเมล์ญี่ปุ่น ดังนี้

1.前置き
ในส่วนนี้แบ่งเป็นสามส่วนย่อย คือ あて先 送信者(แนะนำตัวเอง) あいさつ

2.本文 เป็นเนื้อหาหลักจองอีเมล์

3.むすび คำลงท้าย เช่น じゃ、また

4.署名 ลงชื่อผู้ส่ง

จะเห็นถึงโครงสร้างคร่าวๆ ว่ามันไม่ซับซ้อนอะไรเลย แต่ที่ยากคือคำที่จะเลือกใช้ในการเขียนอีเมล์แต่ละครั้ง ซึ่งสถานการณ์กับบุคคลที่ต่างกันไปก็จะต้องเปลี่ยนคำที่จะใช้เช่นเดียวกัน

ในเป้าหมายที่ผมตั้งจะเป็นการเขียนอีเมล์ถึงคนญี่ปุ่นที่เป็นผู้อาวุโสกว่า ดังนั้นระดับภาษาต้องอยู่ในระดับสูง
ดังตัวอย่างในหนังสือ

ส่วน 前置き
あいさつ

先日は大変お世話になり、ありがとうございました
いつもお世話になっております。
初めてメールを差し上げます
○○さんにアドレスを教えていただき、ご連絡しております。
メールをいただき、ありがとうございました。

ส่วนต่อมา内容
返事の要求
お返事いただければ幸いです。
お返事お待ちしております。

ส่วนที่สามむすび
では、失礼いたします。
どうぞよろしくお願いいたします。
またご連絡させていただきます。
またお会いできるのを楽しみにしております。

พอดูมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าส่วนใหญ่เป็นสำนวนที่ไม่ค่อยได้ใช้เลย
นับแต่นี้ไปคงได้ใช้มากขึ้น

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อีเมล์ถึงอาจารย์

จากหนังสือ "เก่งคีย์อีเมล์ญี่ปุ่น" ของ สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) มีตัวอย่างอีเมล์มากมายเกี่ยวกับการเขียนอีเมล์ในรูปแบบและหัวข้อที่หลากหลาย วันนี้ผมอยากแนะนำตัวอย่างการเขียนอีเมล์ขอจดหมายรับรองเพื่อขอทุนการศึกษา

〇〇先生

〇〇・〇〇です。
実はお願いがあって、メールしました。

来年の高田記念財団の奨学金の募集がもうすぐ始まります。来年は卒論でアルバイトができないので応募したいのですが、推薦状が必要だそうです。
できれば、先生に推薦状を書いていただきたいのですが、お願いできないでしょうか。応募の締め切りは来月15日だそうです。

もし引き受けていただけるようでしたら、先生の研究室へ資料を持って伺います。

お忙しいところ申し訳ありませんが、どうぞよろしくお願いいたします。

〇〇・〇〇

จากตัวอย่างข้างต้นจะแตกต่างจากรูปแบบที่ผมเขียนเป็นประจำก็คือ
1. ผมจะเขียน お忙しいところ申し訳ありません ไว้ด้านบนหลังจากแนะนำตัวเอง
2. มีคำหลายคำที่น่าจะเขียนให้สุภาพมากขึ้น เช่น メールしました เป็น メールをお送りしました。
卒論 น่าจะเขียนเต็มๆว่า 卒業論文 จะดูดีกว่าเพราะเป็นการเขียนอย่างเป็นทางการ เป็นต้น

แต่ว่าหนังสือเล่มนี้แปลมาจากหนังสือของคนญี่ปุ่น จึงเป็นไปได้ว่าคำในตัวอย่างนั้นก็สุภาพเพียงพอแล้ว หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อให้นักเรียนต่างชาติได้เรียนรู้ และศึกษาการเขียนอีเมล์ตามธรรมเนียมและวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นอย่างถูกต้อง จึงไม่จำเป็นต้องตั้งข้อสังเกตมากนัก

ในความคิดของผมนั้นเพียงแค่จำและทำตามรูปแบบนี้ก็น่าจะดีพอแล้ว

เมื่อลองเทียบจากตัวอย่างอีเมล์ของผมเองเมื่อ 2 ปีที่แล้วนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

〇〇先生へ      

僕はタイのアノンです。先生はお元気ですか?先週の木曜日(6日)に文部省の奨学金試験の結果が出ました。僕は合格しました!一年間日本に留学することになりました。本当に嬉しかったです。僕はこんなことができたのは先生のおかげ違いないです。感謝しております。

ではまた連絡します

アノンより

นอกเหนือจากแกรมมาร์ที่มีผิดอยู่บ้างแล้ว รูปแบบการเขียนก็ไม่เป็นทางการเลย
ถึงแม้ว่าวัตถุประสงค์ของการส่งอีเมล์จะแตกต่างกันก็ตาม แต่รูปแบบของเมล์ของผมเป็นเหมือนอีเมล์ที่ส่งให้เพื่อน คือ แนะนำตัวว่าเราเป็นใคร ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ แล้วเข้าเรื่องทันที

สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างสนิท แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เหมาะสมที่จะเขียนอีเมล์แบบนี้อยู่ดี อย่างน้อยควรจะมีเกริ่นอะไรเล็กน้อย และน่าจะเปลี่ยนคำแทนตัวจาก 僕 เป็น 私 จะเหมาะกว่า

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

"Topic" กับ は/が

วันนี้ได้ฟังความรู้เรื่อง Topic มาจากเพื่อน คือไม่ได้ฟังทั้งหมดอาจจะมีความรู้ตกหล่นไปบ้างก็ขออภัย

Topic คือ สิ่งที่ถูกยกขึ้นมาโดยผู้พูดและผู้ฟังมีความเข้าใจตรงกัน

เช่น "นิดตีเพื่อนของเธอเอง" ประโยคนี้ นิด เป็น Topic ของประโยค เพราะผู้พูดและผู้ฟังต่างก็รู้จักว่านิดคือใคร ถ้าหากผู้ฟังไม่รู้จักนิด ประโยคต้องเปลี่ยนไปเป็น "คนที่ชื่อนิดตีเพื่อนของเธอเอง"
รายละเอียดของ Topic ยังมีอีกมาก แต่ขอละไว้เท่านี้ก่อน มิเช่นนั้นคงต้องพิมพ์อีกยาวเลย

อย่างที่พวกเรารู้ ๆ กันอยู่แล้วว่า は ใช้เมื่อเป็น Topic ของประโยคนั้น ๆ
เพราะฉะนั้นผมจะนำเรื่อง Topic นี้มาวิเคราะห์แยกแยะการใช้ は/が

จากบทวิจัยของKnud Lambrecht เขาได้ยกตัวอย่างมาจำนวนหนึ่งมในการใช้ は/が โดยใช้เรื่องTopicนี้อธิบาย

ตัวอย่างแรก
A. What's the matter? B. How's your neck?
(どうしたの?) (はどうしたの?)
1. My neck is HURT. 1. It(my neck) is Hurt.
2. 首が痛い。   2. (は)痛い。

จากตัวอย่างนี้เราจะดูจากทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น เพื่อจะได้เข้าใจง่ายขึ้น
ลองเปรียบเทียบฝั่งA กับฝั่งB ดู สิ่งต่างกันคือคำถาม กับ は/が
การที่ฝั่งA ถามว่า What's the matter? เป็นการถามโดยภาพรวมไม่ได้เจาะจง
คนตอบก็ตอบว่า My neck is hurt. และ 首が痛い。ตามลำดับ ในบทสนทนานี้ คำว่า "คอ" ปรากฏขึ้นครั้งแรก จึงไม่เป็น Topic ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น

ทำไมการปรากฏครั้งแรกถึงไม่เป็น Topic? เพราะผู้พูดกับผู้ฟังไม่มีความเข้าใจร่วมกันตั้งแต่แรกไง เนื่องจากการถามของผู้ถามเป็นการถามโดยรวมว่าเจ็บตรงไหน ต้องรอคนตอบตอบว่าคอ จึงรู้ว่าเป็นคอ เมื่อไม่มีความเข้าใจร่วมกันตั้งแต่แรกก็เป็น Topic ไม่ได้

ในขณะที่ฝั่งB มีการเอ่ยคำว่า "คอ" ตั้งแต่ประโยคคำถามแล้ว และก็มีความเข้าใจร่วมกันด้วยว่าเป็นคอของผู้ถูกถาม ทำให้คำตอบจึงเป็น It is hurt. และ 痛い。ในที่นี้ คำว่า My neck และ 首 เป็น Topic ที่ทำตัวสีแดงไว้เพื่อให้เห็นว่า มันมีความเข้าใจร่วมกัน เพราะมีการกล่าวมาก่อนหน้าที่ผู้ตอบจะตอบคำถาม งงมั้ยเนี่ย แต่ที่คนทั่วไปไม่ตอบว่า My neck is hurt และ 首は痛い。นั้นเป็นเพราะอะไร ลองมาฟังคุณ Knud อธิบายกัน

ที่จริงแล้วตามทฤษฎีควรตอบว่า 首は痛い。เพราะ 首 เป็น Topic แต่ว่าในการใช้จริงจะตอบแค่ 痛い เฉยๆ ในเรื่องนี้คุณ Knud Lambrecht อธิบายไว้ว่าเวลาตอบคำถามในลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ข้อมูลเดิมในรูปเดิมอีก ก็เหมือนกับที่ภาษาอังกฤษเปลี่ยนจาก My neck ไปใช้คำว่า It แทน

ตัวอย่างที่สอง
John arrived
ジョンが来た。
ประโยคนี้ไม่เป็น Topic จึงใช้ が เหตุผลที่นาย Knud Lambrecht อธิบายก็คือ มันเป็น "neutral description" จึงไม่ต้องมี Topic

ด้วยข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด ผมลองมาคิดดูว่าถ้าเราอยากพูดว่า ジョンは来た。ต้องเป็นสถานการณ์แบบไหน ก็ได้คำตอบว่า ต้องเป็นสถานการณ์ที่เรากำลังรอคนอยู่หลายคน แล้วถามว่ามากันหมดแล้วรึยังดังนี้

Has everybody arrived? 皆、来た?
John has arrived. But other people haven't.
ジョンは来た。でも、他の人は来ていない。
รูปแบบนี้ก็จะตรงกับหลักการใช้ は ในการเปรียบเทียบ แต่ถ้าอธิบายตามหลักของ Knud ก็จะได้ว่า คนถามกับคนตอบมีความเข้าใจตรงกันว่า John คือใคร และรู้ว่า John คือหนึ่งในจำนวนทั้งหมด จึงใช้ は ได้ ส่วนคำว่า 他の人 ใช้ は ได้เหมือนกันเพราะเป็นสิ่งที่ผู้พูดกับผู้ตอบรู้ตรงกันว่าเป็นจำนวนคนที่เหลือนอกจาก John ซึ่งมันก็เกิดการกล่าวมาแล้วในคำว่า 皆 นั่นเอง

หวังว่าที่เราเข้าใจเนี่ย ไม่ผิดหรือบกพร่องอะไรไปนะ

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

敬語/謙譲語

เมื่อวานเข้าร่วมกิจกรรม 「書き初め」 จัดขึ้นโดย 林先生และ 池谷先生
ถึงแม้ว่าจะเคยเรียนที่ญี่ปุ่นมาบ้างแต่ทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย
แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเรียนทุกคน นอกจากนี้ยังได้พบ 林先生 อีกครั้งด้วย

วันก่อนหน้านั้นได้ส่งอีเมล์ให้ 林先生 และต้องการจะพูดว่า "ดีใจที่จะได้พบอาจารย์อีกครั้ง"
ทีแรกก็นึกถึงคำว่า 再会する แต่ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเหมาะ เลยเปลี่ยนมาใช้คำว่า お目にかかる แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาอีกก็คือ ตั้งใจว่าจะใช้เป็นรูป 可能形 เหมือนภาษาไทยที่ว่า "ได้พบ" จึงตัดสินใจเขียนไปว่า "お目にかかれる" เพื่อให้ได้ความหมายที่ต้องการ ตอนนั้นก็ไม่มั่นใจว่าสามารถใช้คำนี้ในรูป 可能形 ได้หรือเปล่า แต่รู้สึกเหมือนเคยเห็นคนญี่ปุ่นใช้มาก่อนเลยใช้คำนี้ไป ตอนนี้ก็คิดว่าคงจะเขียนได้ไม่มีปัญหา

พอถึงวันที่เขียนจริง ก็ได้พบกับ 林先生 ตัวจริงรู้สึกตื่นเต้นมาก จนจำไม่ค่อยได้ว่าตัวเองพูดกับอาจารย์ด้วยภาษาระดับไหนไปบ้าง แต่ที่จำได้มีอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ตอนพักครึ่งเวลาอาจารย์แจกขนมให้นักเรียนทานกันอย่างเอร็ดอร่อย เราก็เห็นว่าอาจารย์ยังไม่ได้ทานมัวแต่ทำอย่างอื่นอยู่ เลยถามอาจารย์ไปว่า

「お召し上がりませんか」
林先生 ก็ตอบกลับมาว่า 「いただこう」
แล้วอาจารย์ก็เดินไปหยิบกล่องขนมมาทาน

ปัญหาก็คือคำที่เราพูดไปนั้น กลับมามองดูอีกทีมันผิดไวยากรณ์ชัดๆ (การใส่おไว้ข้างหน้าคำ)
แต่เรื่องนั้นไม่ติดใจเท่ากับที่เราใช้รูป 「~ませんか」
ที่จริงแล้วในตอนนั้นเราคิดจะพูดว่า 「お召し上がらないんですか?」ยังผิดไวยากรณ์เหมือนเดิมแต่ต่างกันที่ท้ายคำ เราคิดว่ามันอาจจะไม่สุภาพเลยเปลี่ยนมาพูดแบบตัวสีฟ้าข้างบนแทน

ตกลงใน 敬語 ใช้รูป「~ないんですか」ได้หรือเปล่า? และความหมายตากันหรือเปล่า?
ลองมาคิดดูผมว่าความหมายมันต่างกันนิดหนึ่งนะ

「~ませんか」เป็นการเชิญชวนเหมือนที่อ.กนกวรรณได้สอนในห้องไปแล้ว
ในขณะที่「~ないんですか」เป็นคำถามที่ว่า "ไม่กินเหรอ?" ทำนองนี้เสียมากกว่า

การเลือกว่าจะใช้อันไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์และจุดประสงค์ของเรา
ซึ่งสถานการณ์ในตอนที่เราถาม 林先生 เราคิดว่าขนมหมดแล้วจึงยื่นของเราให้อาจารย์แล้วถาม ซึ่งในเชิงไวยากรณ์ของภาษาไม่มีปัญหากับสถานการณ์นี้ สรุปคือน่าจะเลือกใช้ถูกแล้ว

แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ที่เรารู้ว่ามีขนมครบจำนวนคน แล้วจะถามว่า "อาจารย์ไม่ทานหรือ" ก็ต้องใช้「~ないんですか」ส่วนเรื่องความเหมาะสมว่าเป็น敬語แล้วจะใช้รูปนี้ได้หรือไม่นั้นไม่แน่ใจเท่าไร แต่ถ้าเป็นผมผมก็จะใช้

คำต่อมาคือคำว่า 分かる 林先生 ฟังภาษาไทยที่เราพูดกันออกบ้าง เราเห็นดังนั้นเลยถามอาจารย์ไปทันทีว่า 「先生はタイ語が分かるんですか」

ก็มานั่งนึกทีหลังว่าคำว่า 分かる มีคำ 敬語 อะไรบ้าง คำที่โผล่มาในหัวก็มี
「分かられる」「ご存知」 2 คำนี้

คิดไปคิดมา คำว่า「分かられる」น่าจะดีที่สุด เพราะ ご存知 ยังไม่ตรงเท่าไร
คิดไปคิดมามันยากเหมือนกันนะเนี่ย เฮ้อ 敬語/謙譲語

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

着地

วันนี้นั่งทำการบ้าน Task 5 revised ของอาจารย์กนกวรรณ พอเขียนมาถึงตอนจบก็มาสะกิดใจ(ไม่ได้เป็นญาติกะพี่ป๋อนะ)ว่าถ้าเราใสข้อความที่เป็นความเห็นของเราลงไปน่าจะทำให้เนื้อเรื่องสนุกขึ้น ยกตัวอย่างเป็นเรื่องที่ส่งอาจารย์ไปเมื่อกี้ละกัน

(前略)そのニュースでは彼女が乗っているはずだった飛行機がエンジンの故障で墜落してしまったんだって。彼女はもしその飛行機に乗っていたら、どうなっているだろうと思ったらしい。乗らなくて本当に良かったとも思ったって。これは不運の幸運と言えるだろうね。

เมื่อก่อนเวลาจะจบก็จะจบแค่ 乗らなくて本当に良かったとも思ったって。ซึ่งแม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่ามันโอเค แต่พอลองใส่ส่วนที่เป็นตัวอักษรสีฟ้าที่เป็นความเห็นของเราเองลงไป จุดเด่นของเนื้อเรื่องจะถูกดึงมาสรุปตรงนี้อย่างลงตัว อาจฟังดูเหมือนยกตัวเองแต่นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่าง แน่นอนว่ามีตัวอย่างที่ดีกว่านี้อีก ซึ่งก็คือ การเล่าเรื่อง 4コマ漫画 ของ 池谷先生

 (前略)その体格のいい女性は平然とわずかな隙間に座ったので、両脇の男性は押されて、苦しそうにしています。特にドアの近くの端の席に座った男性は棒を両手でつかんで痛そうにしています。けっきょく、三太郎はこうして男性たちに仕返しをしたのではないでしょうか

ตัวอย่างนี้ สามารถจบได้ตรงก่อนตัวอักษรสีฟ้า แต่池谷先生กลับเลือกที่จะใส่ส่วนสีฟ้าลงไป เพื่อสร้างอรรถรสของเรื่องราวเพิ่มขึ้น

การจบแบบนี้จะเป็นสไตล์ของญี่ปุ่นมากกว่าไทย นั่นก็คือ 起承転結 นั่นเอง แล้ว 4コマ漫画 ก็ใช้โครงสร้างนี้ในการดำเนินเรื่องด้วยเช่นกัน เพราะเหตุนี้แหละมั้งที่ทำให้เราไม่ค่อยได้นึกถึงและเขียนลงไปในงานของเราเอง

การจบเรื่องแบบนี้ก็เป็นเหมือนกับที่อาจารย์กนกวรรณ และ中山先生 ได้สอนไว้ในแกรมมาร์และการเขียนเรียงความ นั่นก็คือขั้นตอน 着地 ของ ホップ・ステップ・ジャンプ・着地 ดูไปดูมาแล้ว 着地 เป็นจุดเด่นในวัฒนธรรมการสื่อสารของญี่ปุ่น ถ้าเราหัดตรงนี้ให้ได้ก็น่าจะทำให้การสื่อสารของเราสู่ชาวญี่ปุ่นดีขึ้นด้วยก็เป็นได้

บล็อคนี้เขียนสั้นๆ แต่ได้ใจความ(หรือเปล่า)

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จดหมายรัก

จดหมายรัก

ในห้องเรียน อาจารย์ให้ช่วยกันเขียนจดหมายรักถึงผู้หญิงที่เราต้องการรู้ชื่อของเขา

บอกได้คำเดียวว่ายากมาก
เหตุผลแรก เราไม่เคยเขียนจดหมายรักให้ใครและไม่คิดจะเขียนด้วย

เหตุผลที่ 2 อาจารย์บอกว่าห้ามใช้สำนวนเสี่ยว แต่เฉลยของอาจารย์กลับเสี่ยวกว่าอีก

เหตุผลที่ 3 เราคิดว่าแต่ละคนก็มีสไตล์ในการเขียนจดหมายที่แตกต่างกันไป ให้เขียนด้วยกันมันก็จะออกมาไม่ค่อยดี

เหตุผลสุดท้าย ได้บอกไปในห้องแล้วว่า คนไทยไม่มีวัฒนธรรมการเขียนจดหมายบอกความรู้สึกให้กับผู้หญิงที่เราสนใจ (ถึงแม้จะมีคนที่เขียนบ้างแต่ก็น้อยมาก ๆ ) ถ้าเขียนส่งไปให้กับสาวที่เราหมายตาไว้ล่ะก็ แห้วแน่ ๆ

格助詞 と は/が

พอเฉลยจดหมายเสร็จก็ได้ลองทำแบบฝึกหัดกริยาช่วยสองชุด ชุดแรกเป็น 格助詞 ทำผิดเยอะมาก ผิดประมาณ 6 ข้อเห็นจะได้ บางข้อผิดแบบพอรับได้ แต่บางข้อก็ไม่น่าผิด เช่น ~が分かる แต่เราดันตอบ を แทน ที่ตอบไปอย่างนั้นก็เพราะว่า เราเคยเจอประโยคที่คนญี่ปุ่นใช้ ~をわかる ก็เลยแยกแยะไม่ออกว่าตอนไหนที่ใช้รูปแบบหลังได้

ต่อมาก็ทำแบบฝึกหัดของ は/が ซึ่งผลออกมาก็แย่กว่าเดิม เพราะทำผิดไป 8 ข้อ จะว่าเยอะก็เยอะจะว่าไม่เยอะก็ไม่เยอะ เพราะว่าเราไม่ค่อยมั่นใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ บางครั้งที่เรามั่นใจว่าต้องใช้ は แน่ ๆ กลับกลายเป็น が ที่ถูกต้อง เรื่องอย่างนี้คนญี่ปุ่นยังอธิบายไม่ได้ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าประเด็นไหนที่เป็นปัญหาให้เราไม่เข้าใจการใช้ は/が เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา ให้เราชินและซึมซับจนเข้าไปอยู่ในสายเลือด ตอนนั้นคงจะดีขึ้น

กริยาช่วยเป็นสิ่งที่ไม่มีในภาษาไทย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจของคนไทยที่เรียนภาษาญี่ปุ่น

ぼかし表現

เป็นสำนวนแบบนี้ที่ทำให้สารที่เราส่งไปเบลอ ๆ หมายความว่า ไม่สื่อไปตรง ๆ แต่พูดให้อ้อมนิด ๆ เลี่ยงคำหน่อย ๆ คนญี่ปุ่นที่อายุมากมักใช้เพื่อความสุภาพ เช่น あなたはおいくつですか。ไม่ถามว่า あなたは何歳ですか。จะเห็นได้ว่าสำนวนนี้เป็นการทำให้สุภาพมากขึ้นโดยการเลี่ยงไม่ใช้คำว่า "อายุ"

ในขณะที่วัยรุ่นมักจะใช้เพื่อความแปลกใหม่ แฟชั่น หรือการเลี่ยงการรับผิดชอบคำพูดของตน เช่น これ絶対いいかも。 ทั้ง ๆ ที่พูดว่า 絶対 แต่กลับเติมคำว่า かも ลงไปด้วย

เท่าที่เจอมาตอนที่อยู่ปุ่นเพื่อน ๆ จะใช้ ぼかし表現 เยอะมาก จนบางครั้งไม่แน่ใจว่าเขาต้องการสื่ออะไรกันแน่

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การย่อหน้า

วันแรกในวิชาการเขียน อาจารย์อิไมให้เขียนเรื่องชีวิตในญี่ปุ่นเป็นจำนวน3หน้า

พอเขียนเสร็จส่งไป อาจารย์ก็ส่งฟีดแบคกลับมาว่า การย่อหน้าของเรามันตลก
อาจารย์บอกว่า เราย่อหน้าถี่เกินไป เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน ควรอยู่ในย่อหน้าเดียวกัน
แต่ความรู้สึกของเรา คิดว่ามันอยู่คนละเนื้อหาแล้ว ย่อหน้าไปก็ไม่เห็นแปลกอะไร

เช่นตัวอย่างต่อไปนี้

ย่อหน้า1 寮の手続きが終わった後、私は自分が付属していた「留学生センター」に行き、プレイスメントテストを受けました。そこで、私は上級後という組に置かれました。
ย่อหน้า2 その組によって、登録できる科目が違うのです。私が受けていた科目は以下の通りです。「経済の日本語2」、「文章表現3」、「口頭表現2」、「近代文語文講読」などは受けていました。
ย่อหน้า3 以上述べた色々の科目以外に、もう一つの主ゼミを受けなければなりませんでした。私のゼミは日本語のゼミでした。クラスの進み方は多くの読み物を読み、そこに出てきた単語の意味や使い方を学ぶということでした。

ข้อความ3ย่อหน้าด้านบน อาจารย์อิไมบอกให้เขียนรวมเป็นย่อหน้าเดียว(ตัวอักษรสีเขียวคือที่ผิดไวยากรณ์)

ในความคิดของผมเห็นว่า ย่อหน้าแรกเป็นย่อหน้าที่พูดถึงPlacement Test ซึ่งจบที่ผลสอบ
ย่อหน้าที่2 เป็นย่อหน้าที่พูดถึงวิชาที่เราลงทะเบียนเรียน
ส่วนย่อหน้าที่3 เป็นย่อหน้าที่พูดถึงวิชาสัมมนา(ゼミ) ว่าเป็นวิชาแบบไหน ทำอะไรบ้าง

อาจเป็นเพราะโครงสร้างที่เราคิดในหัวไม่ตรงกับโครงสร้างการเขียนของภาษาญี่ปุ่นหรือเปล๋า? ทำให้เวลาเขียนออกมาแล้ว คนญี่ปุ่นทำความเข้าใจได้ยากกว่าที่จะเอามารวมเป็ฯย่อหน้าเดียว

แต่เมื่อดูให้ดี จะเห็นว่าทั้งสามย่อหน้ามีความสัมพันธ์กัน คือ ตอนท้ายของย่อหน้าแรกบอกถึงผลสอบว่าอยู่คลาสไหน ต่อมาในตอนเริ่มต้นย่อหน้าที่สองเชื่อมกับย่อหน้าแรกว่า เมื่ออยู่ในคลาสที่ต่างกัน ก็จะเลือกลงทะเบียนเรียนในแต่ละวิชาได้ต่างกัน ส่วนย่อหน้าที่สามก็เชื่อมกับย่อหน้าทื่สองว่า นอกจากวิชาธรรมดาแล้วยังมีวิชาพิเศษที่เด็กไทยไม่คุ้นเคยคือ วิชาสัมมนา

ความสัมพันธ์เหล่านี้ ที่เรียนในวิชาการเขียนภาษาไทยเป็นการเชื่อมระหว่างย่อหน้าที่เหมาะสม คือ ถึงแม้จะเป็นคนละย่อหน้า แต่ก็ควรผูกความให้สัมพันธ์กัน เมื่อผมได้เรียนในวิชาภาษาไทยมาอย่างนี้ มันจึงติดนิสัยจนเอามาใช้กับภาษาญี่ปุ่น แต่ว่ามันไม่เข้ากับโครงสร้างภาษาญี่ปุ่น เรียงความของผมเลยดูตลกสำหรับอาจารย์อิไมไป

วันหลังคงต้องแบ่งสมองเป็นสองส่วน เพื่อจะได้แยกแยะให้ออกว่าอันหนึ่งเป็นการเขียนภาษาไทย อีกอันเป็นการเขียนภาษาญี่ปุ่น

เรื่องการเขียนที่เรามีปัญหายังมีอีก ไว้วันหลังจะมาอัพละกัน